พาไปวัด
“อยุธยา” เป็น 1 ใน Destination ที่หลายๆ ท่านมักจะนึกถึง เวลามีวันหยุด หรือวันว่างๆ ที่อยากจะไปเที่ยวทำบุญ และพักผ่อนกัน และถ้าพูดถึงอยุธยาเชื่อว่าหลายๆท่าน คงจะมีความรู้สึกคล้ายๆกันที่ว่า มาอยุธยากี่ครั้งก็ไม่เคยพอ วัดนั้นก็สวยวัดนี้ก็น่าไป หลังจบทริปแล้วจะมีความคิดในหัวเสมอทุกครั้งว่าครั้งหน้าจะมาเที่ยววัดให้ครบอยุธยาเลย วันนี้ทีมงานพาไปวัดจึงจัดทริปสั้นๆ ง่ายๆ กับ 7 วัดอยุธยาที่ห้ามพลาด ซึ่ง 7 วัดนี้ ไม่ค่อยมีคนพูดถึงสักเท่าไหร่อีกด้วย
วัดแรกที่เราจะไปนั้นอยู่ใกล้กรุงเทพฯมากๆ “ วัดนางกุย ” ที่ชื่อวัดว่านางกุย ก็เพราะว่าผู้สร้างวัดนี้ชื่อนางกุย
จากหลักฐานของกรมศิลปากรระบุว่าสร้างในปี พ.ศ.2130 หรือ 400 กว่าปีที่แล้ว สิ่งที่ห้ามพลาดของวัดนางกุย คือ หลวงพ่อยิ้ม
องค์พระประธานหลวงพ่อยิ้มตั้งอยู่ภายในอุโบสถ ที่เรียกกันว่าหลวงพ่อยิ้มก็เพราะว่า พระพักต์ของท่านกำลังยิ้มอยู่นั่นเอง ถัดมาคืออุโบสถ
สิ่งที่น่าสนใจของอุโบสถ ให้สังเกตที่หน้าบันเป็นลวดลายศิลปะตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนต้น จะมีรูปนารายณ์ทรงครุฑอยู่หน้าโบสถ์
ที่ห้ามพลาดอีกจุดหนึ่งคือ เจ้าแม่ตะเคียนทอง ที่แกะสลักจากต้นตะเคียนทองที่ยืนต้นตายแล้ว
โดยมีความเชื่อกันว่าหากมาไหว้เจ้าแม่ตะเคียนทองให้ขอเรื่องโชคลาภ เมตตามหานิยมมักจะสมหวังเสมอ นอกจากนี้ยังมีเจดีย์เก่าแก่ที่รายล้อมอยู่รอบอุโบสถ และยังมีพระพุทธรูปปรางค์ต่างๆซึ่งมีรูปลักษณ์แปลกตาอยู่ภายในวัดนางกุยแห่งนี้
วัดที่สองที่เราจะไปตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา เดิมชื่อวัดกษัตราเคยถูกทำลายเมื่อคราวเสียกรุงศรีอยุธยา ต่อมาถูกบูรณะในสมัยรัชกาลที่ 1 ได้รับพระราชทานนามใหม่ว่า วัดกษัตราธิราชวรวิหารในสมัยรัชกาลที่ 5 และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯยกวัดกษัตราธิราชเป็นพระอารามหลวงชั้นตรีชนิดวรวิหาร ในปี พ.ศ.2520 เมื่อเราเดินมา ณ จุดไฮไลท์ของวัดเมื่อเดินตรงด้านหน้าพระอุโบสถที่ปูพื้นหินอ่อนขัดเงาแผ่นใหญ่ ด้านข้างเป็นพระวิหารคู่ด้านหนึ่งเป็นที่ตั้งรูปหล่อสมเด็จพระพนรัตน์ พระอาจารย์ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช(หลวงพ่อแก่) พระวิหารอีกด้านเป็นที่ตั้งรูปหล่อของหลวงปู่เทียมอดีตเจ้าอาวาสพระเกจิอาจารย์ชื่อดังด้านตะกรุด ภายในอุโบสถ ประดิษฐานพระพุทธกษัตราธิราช พระพุทธรูปประทับนั่งขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย หลังจากขอพรเสร็จเดินต่อมาที่พระตำหนักและศาลาการเปรียญ พอเข้ามาภายในจะเจอภาพจิตรกรรมเกี่ยวกับพุทธประวัติและเรื่องราวชาดกต่างๆที่วาดบอกเล่าเรื่องราวด้วยภาพแทนการใช้ตัวหนังสือในสมัยนั้น ก่อนจะไปที่วัดถัดไปแอดมินอยากจะแชร์ความประทับใจว่าบรรยากาศในวัดเหมือนตัวเองได้เป็นขุนนางในวัง กำลังเดินเที่ยววัดอย่างไงอย่างงั้นเลยครับ
มาต่อกันที่วัดศาลาปูนวรวิหาร เดิมวัดศาลาปูนนั้นเคยเป็นที่สถิตของพระราชาคณะตำแหน่งพระธรรมราชา สืบต่อกันมาจนถึงรัชกาลที่ 6 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งในสมัยรัชกาลที่ 4 และรัชกาลที่ 5 วัดศาลาปูนเป็นที่สถิตของพระราชาคณะชั้นสมเด็จ คือสมเด็จพระพุฒาจารย์(พุก) เดิมทีพระประธานในพระอุโบสถของวัดศาลาปูนแห่งนี้คือ หลวงพ่อวัดไร่ขิง ที่ปัจจุบันประดิษฐานที่วัดไร่ขิงจ.นครปฐม ปัจจุบันมีหมู่พระประธานปางต่างๆที่มีความงดงามมาก ภายในพระอุโบสถยังมีภาพจิตรกรรมฝาผนังมีลักษณะแบบจิตรกรรมสมัยอยุธยาตอนปลาย ซึ่งมี่ความเสื่อมโทรมไปตามกาลเวลาแต่ยังคงความงดงามของศิลปะในสมัยก่อนเอาไว้ นอกจากนี้ภายในวัดยังมีสิ่งน่าสนใจอีกมากมาย เช่น เจดีย์ทรงกลม ตั้งอยู่บริเวณด้านหลังพระอุโบสถ เป็นเจดีย์ขนาดใหญ่ประกอบด้วยฐานสูง ตั้งเรียงกันอยู่รอบๆวัด
เดินทางต่อมาในวัดที่ 4 เรียกว่าเป็นครึ่งทางของทริปนี้ เรามาต่อที่วัดกลางคลองสระบัว ตั้งอยู่ที่ตำบลคลองสระบัว สิ่งที่ต้องห้ามพลาดของวัดนี้คือ หลวงพ่อทันใจที่มีเรื่องเล่าขานกันเกี่ยวกับการขอพร ขอโชคขอลาภ โดยที่ภายในวัดจะมีองค์หลวงพ่อทันใจองค์จำลองอยู่ที่วิหารด้านหน้า แต่แอดมินแนะนำให้เดินเข้าไปทางด้านหลังจะเจอวิหารที่เพิ่งสร้างเสร็จเป็นที่ตั้งหลวงพ่อทันใจองค์จริงที่มีอายุมากกว่า 300 ปี และจะมีคุณลุงคอยนำสวดขอพรองค์หลวงพ่อทันใจ หากเดินย้อนกลับมาที่วิหารที่ตั้งหลวงพ่อทันใจองค์จำลองจะเห็นคนที่แวะเวียนนำไข่เป็นถาดๆ ดอกไม้ธูปเทียน มาแก้บนกับองค์หลวงพ่ออย่างไม่ขาดสาย จากนั้นเดินออกมาจะเจอคลองสระบัวมีที่นั่งให้พักรับลมเย็นๆ โดยมีพระเจดีย์เก่าแก่ถูกพันด้วยผ้าสีเหลืองอยู่ระหว่างสระบัวกับวิหาร
มาต่อกันที่วัดแม่นางปลื้ม เมื่อเดินทางมาถึงก็รู้สึกปลื้มใจถึงความสวยงามของวัด สมกับชื่อวัดแม่นางปลื้ม โดยที่มาของชื่อวัดแม่นางปลื้มเกิดจากความดีของแม่นางปลื้มที่เคยช่วยเหลือสมเด็จพระนเรศวร หลังจากแม่นางเสียชีวิตท่านได้ประทับใจในความดี จึงได้สร้างวัดให้ตรงกับชื่อ “วัดแม่นางปลื้ม” เมื่อเดินเข้ามาภายในวัดจะเจอกับซุ้มประตูแม่งนางปลื้ม ผ่านเข้าใจชมสิ่งที่ต้องห้ามพลาดของวัดนี้คือวิหารหลวงพ่อขาว ซึ่งภายในมีองค์หลวงพ่อขาวเป็นพระประธาน อีกหนึ่งจุดที่แนะนำคือเจดีย์ในสมัยอยุธยาทีมงานรับรองเลยว่าเจดีน์ที่นี่สวยไม่แพ้วัดอื่นในอยุธยาเลยครับ จากไฮไลท์หลวงพ่อขาวยังมีพระพุทธรูปปางต่างๆให้ทุกท่านได้กราบไว้อีกด้วย ก่อนจะเดินทางไปที่วัดถัดไป อยากให้ซึมซับธรรมชาติของวัดแม่นางปลื้มสักนิด เพราะที่นี่ต้นไม้รมรื่นมาก
มาต่อกันวัดที่ 6กันค่ะ วัดเจดีย์แดง เมื่อเข้ามาด้านหน้าวัดจะมีป้ายแนะนำติดไว้ก่อนที่จะเดินเข้าเลย ขอบอกว่าวัดที่นี่สงบเรียบง่ายมาก ภายในวิหารมีพระประธานองค์ใหญ่อายุกว่า 630ปี รายล้อมด้วยพระพุทธรูปให้เราได้กราบไหว้ขอพร จากนั้นมาที่ด้านหลังพระวิหารจะเจอเจดีย์ย่อมุมไม้ 20 ถูกสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 2 มีองค์พระพุทธรูปที่เหลือแต่เศียรตั้งอยู่ด้านข้างของเจดีย์ เมื่อเดินถัดเข้าไปอีกเป็นศาลาการเปรียญและพิพิธภัณฑ์หลวงปู่จำลอง อดีตเจ้าอาวาสวัดเจดีย์แดง
เรามาปิดทริปนี้กันที่วัดสุดท้ายคือ “วัดบรมวงศ์อิศรวราราม” เดิมชื่อวัดทะเลหญ้า เพราะตั้งอยู่กลางทุ่งหญ้ากาลเวลาผ่านไปกลายเป็นวัดล้าง ต่อมาสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้ามหามาลา กรมพระยาบำราบปรปักษ์ ทรงบูรณะและสร้างเป็นพระอารามหลวงถวายรัชกาลที่ 5 ภายในวัดมีพระบรมฉายาลักษณ์ของท่านที่หาชมได้ยากอยู่เป็นจำนวนมาก นอกจากนั้นยังมีกลุ่มพระพุทธรูปที่ฉลองพระองค์ทรงเครื่องขัตติยราชแบบกษัตริย์ สวมมงกุฎ ตกแต่งด้วยฉลองพระองค์สวยงาม สิ่งที่ห้ามพลาดคือพระพุทธรูปทรงเครื่องปางไสยาสน์ และเดินลึกเข้าไปอีกจะพบรูปหล่อรัชกาลที่5 ทรงบัลลังก์พร้อมบทสวดให้เราได้กราบไหว้ แอดมินขอบอกว่าภายในวิหารการระบายความร้อนได้ดีมากทั้งๆที่ข้างนอกแดดแรงอากาศร้อนแต่นั่งอยู่ข้างในกลับรู้สึกเย็นสบายทีเดียวเลย เป็นการปิดทริปครั้งนี้ได้อย่างสวยงามน่าประทับใจมากๆครับ
ติดตามพาไปวัดได้ที่ :
Facebook : https://www.facebook.com/papaiwatofficial
Instragram : https://www.instagram.com/papaiwatofficial
Twitter : https://twitter.com/papaiwatthai